วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สังฆภัณฑ์


สังฆภัณฑ์




มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาและความหมายกันนะค่ะ


     สังฆภัณฑ์ คือ เครื่องใช้ในกิจของพระสงฆ์ แต่หากจะพูดให้กว้างขึ้น สังฆภัณฑ์ ยังรวมเอาเครื่องใช้สำหรับพิธีการทางศาสนาเข้าไปด้วย เช่น โต๊ะหมู่บูชา เครื่องบูชา เครื่องทองเหลือง พระพุทธรูป รูปเหมือนต่างๆเป็นต้น

     บุญ มาจากศัพท์ภาษาบาลีว่า "ปุญญะ" แปลว่า เครื่องชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ บุญเป็นเครื่องกำจัดสิ่งเศร้าหมองที่เรียกว่า กิเลส ดังนั้น การทำบุญจึงเป็นการช่วยลด ละ เลิก คามโลภ ความเห็นแก่ตัว ทำให้ใจเป็นอิสระ พร้อมก้าวต่อไปในคุณความดีอย่างอื่น เมื่อเวลาเราทำบุญ คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึง การตักบาตรพระ หรือเข้าวัดทำบุญถวายไทยทาน หรือ สังฆทานแด่พระภิกษุสงฆ์

      การถวายทาน เป็นการถวายวัตถุที่ควรให้เป็นทานแก่พระภิกษุ สามเณร เพื่อใช้สอยหรือบูชาพระตามสมควร การถวายทานแบ่งได้เป็น 2 อย่าง คือ
      1. ถวายเจาะจงเฉพาะรูปนั้นรูปนี้อย่างหนึ่ง เรียกว่า ปาฎิบุคลิกทาน สำหรับการถวายทานประเภทนี้ไม่จำต้องมีพิธีกรรมอะไรในการถวาย เพราะผู้ถวายเกิดศรัทธา จะถวายสิ่งใดแก่ภิกษุหรือสามเณรรูปใด ก็จัดสิ่งนั้นมอบถวายเฉพาะรูปนั้นเป็นรายบุคคล สำเร็จเป็นทานแล้วและผู้รับปาฎิบุคคลทาน จะอนุโมทนาอย่างไรนั้น ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลเช่นกัน แต่มีอานิสงส์น้อยกว่า เพราะเป็นการให้ทานโดยจำกัดเฉพาะบุคคลว่าต้องเป็นผู้นั้นผู้นี้
      2. ถวายไม่เจาะจงรูปใด มอบเป็นของกลาง ให้สงฆ์จัดเฉลี่ยกันใช้สอยเอง อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า สังฆทาน เป็นการถวายสิ่งของแก่หมู่พระภิกษุสงฆ์ เป็นการถวายโดยไม่เจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เม่อถวายแล้วก็ให้ถือว่า พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปมีสิทธิ์ใช้สอยสิ่งของเหล่านั้นตามสะดวกอาจจะเพียงตัวแทนสงฆ์เพียงรูปเดียวมารับประเคน ก็ถือว่าเป็นสังฆทานเหมือนกัน

บุญสังฆทาน
       สังฆทาน คือ พิธีกรรมการถวายไทยทานหรือวัตถุสิ่งของ ข้าว ผ้า ยา น้ำ ฯลฯ แก่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งถือเป็นบุญนิยม ที่ชาวไทยทุกหมู่เหล่ามักจะทำกันเป็นประจำ จนกลายเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง ที่จำเป็นในการทำบุญของชายพุทธไทยปัจจุบัน มูลเหตุของการถวายสังฆทาน ปรากฎในพระไตรปิฏกเล่มที่ 14 ทักขิณาวิภังคสูตร ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงการจำแนกทักษิณาทาน โดยมีเรื่องเล่าว่า สมัยที่พระพุทธองค์เสร็จประทับ ณ วัดนิโครธาราม เขตเมื่องกบิลพัสดุ์ พระนางมหาปชาบดีโครตมี พระมารดาเลี้ยงของพระพุทธองค์ เสร็จมาเฝ้าพร้อมกับผ้าใหม่คู่หนึ่งซึ่งทรงทอด้วยพระหัตถ์ของพระนางเอง ทรงตั้งพระทัยจะถวายเจาะจงพระพุทธเจ้าเท่านั้น ทรงน้อมผ้าคู่นั้นเข้าไปถวายพร้อมกับกราบทูลว่า ขอพระพุทธองค์ทรงปฎิเสธพร้อมกับพระดำรัสว่า ขอพระนางจงถวายแก่สังฆ์เถิด เมื่อสงฆ์รับแล้วผ้าคู่นี้ก็จักเป็นการบูชาทั้งอาตมาภาพและสงฆ์ เมื่อทรงสดับเช่นนั้น พระนางก็ไม่ทรงละความพยายาม ทรงน้อยผ้าคู่นั้นเข้าถวายอีกถึง 3 ครั้ง แต่พระพุทธองค์ก็ทรงปฎิเสธเหมือนเดิมถึง 3 ครั้งเช่นกัน จนท่านพระอานนท์ทนไม่ไหว ต้องกราบทูลพระพุทธองค์ขึ้นว่า ขอพระพุทธองค์ได้โปรดอนุเคราะห์พระน้านาง ด้วยการรับผ้านี้ด้วยเถิด เพราะพระนางมีบุญคุณใหญ่หลวงนัก นับตั้งแต่พระพุทธมารดาเสด็จสวรรคต พระนางก็ทรงอภิบาลฟูมฟัก ถวายพระเกษัยรธาร (น้ำนม) จากพระอุระของพระนางเอง พระนางทรงเป็นบุพการีบุคคล พระพุทธเข้าข้า แม้ท่านพระอานนท์จะกราบทูลรบเร้าอย่างไร พระพุทธองค์ก็ทรงยืนยันพระดำรัสเดิม คือ ตรัสแนะนำให้นางถวายผ้านั้นเป็นสังฆทาน เมื่อเป็นเช่นนี้ พระนางมหาปชาคีโคตมี ทรงโทมนัสพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เพื่อต้องการจะอนุเคราะห์พระนาง พระพุทธองค์จึงทรงแสดงธรรมยกย่องว่า สังฆทาน การถวายทานเจาะจงสงฆ์โดยส่วนรวม มีผลมากกว่าการปฎิบุคคลิกทานทุกประเภท จนพระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงเข้าพระทัยแจ่มแจ้ง จางคลายจากความเศร้าโศก ได้น้อมถวายผ้าคู่นั้นถวายแก่คณะสงฆ์ กลายเป็นตัวอย่างการถวายสังฆทานสืบต่อกันมา แต่ในปัจจุบัน มีชาวพุทธไทยส่วนหนึ่งที่ไม่เข้าใจและรู้เพียงว่า สังฆทาน คือ ทานที่ถวานแก่พระสงฆ์ เพื่อประกอบพิธีกรรมต่างๆเช่น ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา เสริมราศี เมื่อเวลาที่เกิดเคราะห์หามยามร้าย ป่วยไข้ หรือถูกหมอดูทักว่า ดวงไม่ดี ซึ่งพิจราณาดูจะพบว่าไม่มีปรากฎตัวอย่างในพระไตรปิฏกเลย แต่กลับได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป
   
 
สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์




ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International.

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ความหมายที่ควรรู้

ความหมาย


     ทำบุญ คือ การพยายามเลิกละความประพฤติชั่วทุกอย่าง จนเต็มความสามารถและพยายามสร้างกุศลสำหรับตนให้พร้อมเท่าที่จะสร้างได้ กับ พยายามชำระจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ ด้วยการพยายามทำตามคำสอนในหลักการนี้เป็นการพยายามทำดี

     บุญพิธี ได้แก่ พิธีทำบุญเนื่องด้วยประเพณีในครอบครัวของพุทธศาสนิกชน เป็นประเพณีเกี่ยวกับชีวิตคนไทยทั่วไป ส่วนมากทำกันเกี่ยวกับเรื่องฉลองบ้าง เรื่องต้องการสิริมงคลบ้าง เรื่องตายบ้าง ในเรื่องเหล่านี้นิยมทำบุญทางพระพุทธศาสนา เช่น ทำบุญเลี้ยงพระและตักบาตร เป็นต้น แยกเป็น 2 ประเภท คือ
                 ก. ทำบุญงานมงคล
                 ข. ทำบุญงานอวมงคล
      ทานพิธี  หมายถึง พิธีถวายทางต่างๆ การถวายทาน คือ การถวายวัตถุที่ควรให้เป็นทาน ในพระพุทธศาสนา เรียกวัตถุที่ควรให้เป็นทานนี้ว่า "ทานวัตถุ" จำแนกไว้ 10 ประการ คือ (๑) ภัตตาหาร (๒) น้ำรวม ทั้งเครื่องดื่มอันควรแก่สมณบริโภค (๓) ผ้าเครื่องนุ่งห่ม  (๔) ยานพาหนะ สงเคราะห์ ปัจจัยค่าโดยสารเข้าด้วย (๕) มาลัยและดอกไมเครื่องบูชาชนิดต่างๆ (๖) ของหอม หมายถึง ธูปเทียนบูชาพระ (๗) เครื่องลูบไล้ หมายถึง เคร่องสุขภัณฑ์สำหรับชำระร่างกายให้สะอาด มีสบู่ เป็นต้น (๘) เครื่องที่นอนอันควรแก่สมณะ (๙) ที่อยู่อาศัย มีกุฎิเสนาสนะ และเครื่องสำหรับเสนาสนะ เช่น เตียง ตู้ โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น (๑o) เครื่องตามประทีป มีเทียน จุดใช้แสงตะเกียง น้ำมันตะเกียง และ ไฟฟ้า เป็นต้น

       ปกิณกพิธี  เป็นพิธีเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับพิธีปฎิบัติบางประการ ในการประกอบพิธีต่างๆ มี 5 เรื่องคือ
              ก. วิธีแสดงความเคารพพระ
              ข. วิธีประเคนของพระ
              ค. วิธีทำหนังสืออารธนา และ ทำใบปวารณาถวายจตุปัจจัย
              ง.  วิธีอารธนาศีล  อารธนาพระปริตร อาธนาธรรม
              จ. วิธีกรวดน้ำ







สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์

ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International.

สังฆภัณฑ์

การถวายสังฆทาน


    สังฆทาน คือ ทานที่ถวายแด่พระสงฆ์ มิได้เจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งโดย เฉพาะถือว่าเป็นการถวายแด่สงฆ์ได้บุญมาก ถ้าถวายเฉพาะเจาะจง คือตั้งใจถวายเฉพาะพระภิกษุสามเณรรูปนั้น รูปอื่นไม่ถวายเรียกว่า ปาฏิบุคลิกทาน แปลว่า ทานที่ถวายเฉพาะบุคคล



ผลิตภัณฑ์

          สิ่งของที่ควรมี ในชุด “สังฆทาน” หนึ่งชุดของกลุ่มตัวอย่าง ให้ความสำคัญมากที่สุดกับยามัญประจำบ้าน (ร้อยละ 86.0รองลงมาเป็นธูปเทียน (ร้อยละ 76.4ชุดผ้าไตร (ร้อยละ 74.8สบู่/แชมพู (ร้อยละ 71.1ส่วนสิ่งที่ให้ความสำคัญน้อยมาก ได้แก่ เครื่องเขียน (ร้อยละ 23.6และ หนังสือธรรมมะ (ร้อยละ 22.5นอกจากนี้ในส่วนที่กลุ่มตัวอย่างระบุข้อมูลเพิ่มเติม จะเน้นไปที่ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น แปรงและยาสีสัน อุปกรณ์ทำความสะอาด น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก หลอดไฟ รวมทั้งปัจจัยหรือเงินด้วย          
ปัจจัยในการพิจารณา เลือกซื้อชุด “สังฆทาน” ของกลุ่มตัวอย่าง จำนวนร้อยละ 65.9 พิจารณาจาก ชนิดของของที่บรรจุอยู่ภายในสังฆทาน รองลงมาในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันคือ ราคาที่ร้อยละ 61.6 วันหมดอายุ ร้อยละ 53.1 ส่วนความสวยงามของบรรจุภัณฑ์ สถานที่จำหน่าย ป้ายรายละเอียดสินค้า และยี่ห้อของของภายในชุด เป็นปัจจัยที่นำมาพิจารณาในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันแต่ไม่มากนัก ในขณะที่ ยี่ห้อ ถูกนำมาเป็นปัจจัยพิจารณาเพียงร้อยละ 3.5 เท่านั้น นอกจากนี้มีกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 3.9 ไม่สนใจปัจจัยใดๆ มาพิจารณาในการเลือกซื้อชุดสังฆทานเลย และร้อยละ 2.7 เลือก อื่นๆ โดยระบุว่าเป็นสิ่งของตามความจำเป็นและใช้ประโยชน์ได้จริง 




สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์


ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International.

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558

การแต่งกายไปวัดและการเตรียมตัวก่อนไปวัด

การแต่งกายไปวัดและการเตรียมตัวก่อนไปวัด การแต่งกายไปวัด มีความสำคัญอย่างไร?     การแต่งกายให้ถูกต้อง และสุภาพไปวัดเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะ วัด เป็นสถานที่สำคัญในการปลูกฝังพระธรรม คือ ทาน ศีล ภาวนา ให้แก่ประชาชนสำหรับไว้ต่อสู้ทำลายล้างกิเลส โดยมีพระภิกษุเป็นผู้แนะ ได้แก่ อบรมสั่งสอนชี้ทางถูก และผู้นำ ได้แก่ ประพฤติประพฤติชอบให้ดูเป็นตัวอย่าง

     วัด นอกจากเป็นแหล่งอบรมปลูกฝังพระธรรมแล้ว ยังเป็นจุดรวมให้ประชาชนเข้ามา วัด หรือสอบตัวเองว่าการให้ทาน รักษาศีล การเจริญภาวนาของตัวมีอยู่และถูกต้องหรือไม่ วัดกิริยามารยาท คุณสมบัติผู้ดี คุณธรรมต่างๆ ฯลฯ ของแต่ละคนว่าจะมีหรือไม่ จะมีมากหรือน้อยกว่ากันอย่างไร จะได้แก้ไขปรับปรุงให้มีและดียิ่งๆ ขึ้นไป

     วัด เมือ่เป็นสถานที่ปลูกฝังพระธรรม ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดแห่งชีวิต จึงนับว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เมื่ออยู่วัด ทุกคนต้องระมัดระวังจนให้ คิด พูด ทำ แต่ในสิ่งที่สมควรเสมอ คือ ช่วยกันรักษาความสงบ ความสะอาด ความเรียบร้อย ทั้งของตนเองและของวัดให้ดี ถ้าคนใดประพฤติปฏิบัติตนไม่เหมาะสมภายในบริเวณวัด ก็จะเป็นความเสื่อมอย่างยิ่งทั้งแก่ตนเอง ผู้อื่น และพระพุทธศาสนาการแต่งกายของสุภาพชน ?

      ปกติการแต่งกายออกนอกบ้านของสุภาพชน ย่อมคำนึงถึงเหตุผล 3 ประการต่อไปนี้ เพื่อประโยชน์สุขของตนเอง และส่วนรวม คือความสะอาดความสุภาพความเหมาะสมกับสถานที่ที่จะไปเมื่อจะไปวัดควรแต่งกายดังนี้

1) เสื้อผ้าควรเป็นสีขาวทั้งชุด หรืออย่างน้อยก็เสื้อสีขาว ยกเว้นเครื่องแบบของข้าราชการ       
2) เนื้อผ้า ไม่ควรโปร่งบาง ประณีตมาก หรือหรูหราราคาแพงเกินไป       
3) การตัดเย็บควรให้หลวมพอสมควร ไม่รัดรูป เพื่อสะดวกในการกราบไหว้พระและนั่งสมาธิ(Meditation) ผู้หญิงไม่ควรนุ่งกระโปรงสั้น หรือชะเวิกชะวากผ่าหน้าผ่าหลัง ควรนำผ้าคลุมเข่าไปด้วย เพื่อใช้คลุมเข่าขณะนั่งพับเพียบหรือนั่งสมาธิ       
4) ทรงผม ผู้ชายควรตัดให้สั้น ถ้าไว้ยาวก็หวีให้เรียบร้อย ส่วนผู้หญิงอย่าแต่งผมประณีตเกินไป ผู้ผมเห็นจะได้ไม่เกิดความคิดฟุ้งซ่าน       
5) ไม่ควรใช้น้ำมันใส่ผม ถ้าจำเป็นต้องใช้ ควรเป็นชนิดที่มีกลิ่นอ่อนที่สุด จะได้ไม่รบกวนผู้อื่น       
6) น้ำหอม ควรเว้นเด็ดขาด       
7) การแต่งหน้า เขียนคิ้ว ทาปาก ทาเล็บ ฯลฯ จนเกินงาม ไม่ควรกระทำ       
8) เครื่องประดับราคาแพง เช่น แหวนเพชร นาฬิกาเรือนทอง หรือสร้อยทองคำเส้นโตๆ ฯลฯ ไม่ควรสวมใส่เด็ดขาดเรื่องการแต่งกาย พึงระลึกเสมอว่า 
วัด - ไม่ใช่เวทีประกวดความงาม หรือสถานที่พลอดรัก       
วัด - ไม่ใช่สถานที่อวดความมั่งมี       
วัด - ไม่ใช่สนามกีฬา       
วัด - ไม่ใช่ตลาดขายสินค้า       
วัด - ไม่ใช่โรงมหรสพ       
วัด - เป็นสถานแสวงบุญ       
ดังนั้น กิเลสใดที่พอจะกำจัดได้เอง ควรกำจัดทิ้งไว้นอกประตูวัดเสียก่อน การแต่งกายด้วยชุดขาวมีอานิสงส์ คือ      
1) ทำให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย       
2) ทำให้เกิดบรรยากาศแห่งการปฏิบัติธรรม       
3) ทำให้เกิดความเสมอภาพแก่ชนทุกชั้น       
4) ทำให้เกิดสติ มีความสำรวมระวังเพิ่มมากขึ้น       
5) ทำให้ใจผ่องแผ้ว พร้อมที่จะเข้าถึงธรรมกฎระเบียบการมาวัดพระธรรมกาย  
วัดพระธรรมกาย เป็นบุญสถานของพุทธศาสนิกชนทุกท่าน เป็นสถานที่ต้องการความสงบ ความสะอาด ความเรียบร้อย และสำรวม ดังนั้นโปรดให้ความเคารพต่อสถานที่ด้วยการปฎิบัติตามกฎต่อไปนี้ อย่างเคร่งครัด

...................................................................................................................................................................

1.ห้ามสูบบุหรี่ ตลอดจนไม่นำสิ่งเสพติดให้โทษเข้ามา
2.ห้ามอ่านหรือนำหนังสือพิมพ์ หรือสิ่งตีพิมพ์ ที่นำมาซึ่งความร้อนใจ 
3.ห้ามนำสินค้า หรือสิ่งของใดๆเข้ามาจำหน่าย 
4.ห้ามเปิดวิทยุ หรือเครื่องกระจายเสียง และเทบบันทึกเสียงเพลง 
5.ห้ามนำสัตว์มาปล่อยในบริเวณวัด 
6.ห้ามโฆษณาชวนเชื่อหาเสียงใดๆทั้งสิ้น 
7.ห้ามร้องรำทำเพลง หรือแสดงการละเล่นทุกชนิด 
8.ห้ามทำนายทายทักโชคชะตา และคุยกันด้วยเรื่องการเมืองที่ทำให้ร้อนใจ 
9.ห้ามเรี่ยไร และแจกใบฎีกาทุกชนิด 
10.โปรดแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยกฎระเบียบการมาวัดพระธรรมกาย"บัณฑิตย่อมรับรู้ และปฎิบัติตามระเบียบวินัย" 
การแต่งกายสุภาพ..เป็นความดีสากล มารยาทการแต่งกายที่สุภาพเมื่อมาวัด 
- ควรสวมเสื้อผ้าสีขาวทั้งชุดหรืออย่างน้อยก็เสื้อสีขาวเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย 
- ไม่ควรสวมเสื้อผ้าโปร่งบาง หรือหรูหราราคาแพงเกินไป 
- ไม่ควรสวมเสื้อผ้ารัดรูป 
- ผู้หญิงไม่ควรนุ่งกระโปรงสั้นหรือผ่าหน้าผ่าหลัง ควรนำผ้าคลุมเข่าไปด้วย เพื่อใช้คลุมเข่าขณะนั่งพับเพียบหรือนั่งสมาธิ 
- ควรเว้นการประพรมน้ำหอม
- ไม่ควรแต่งหน้า เขียนคิ้ว ทาปาก ทาเล็บ ฯลฯ จนเกินงาม
- ไม่ควรสวมเครื่องประดับราคาแพง เช่น แหวนเพชร นาฬิกาเรือนทอง    หรือสร้อยทองคำเส้นโต ๆ ฯลฯคำสอนหลวงพ่อธัมมชโยเรื่องการแต่งกายมาวัด

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วิธีการทำบุญและพิธีบวช

วิธีการทำบุญ

คำว่า "บุญ" แปลว่า ความสุข ความดี ความสะอาด ความผ่องแผ้วแห่งจิต
คำว่า "การทำบุญ" หมายถึง การทำกิจใดๆ เพื่อให้ได้บุญ คือ เพื่อให้ได้ความสุขกายสบายใจ กิจที่ทำนั้นต้องเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และผู้อื่น โดยถูกทำนองคลองธรรม สำหรับคำว่า "การ บำเพ็ญบุญ" มีความหมายเช่นเดียวกับ "การทำบุญ"
วิธีการทำบุญ เพื่อจะให้ได้บุญนั้น มีอยู่ ๓ วิธี โดยจำแนกตามจิต รวมเรียกว่า "บุญกิริยาวัตถุ ๓ อย่าง" คือ

๑.ทานมัย วิธีการทำบุญด้วยการบริจาคทาน เป็นเรื่องของจิตเกี่ยวเนื่องกับสิ่งของที่จะทำทาน มีหน้าที่กำจัดกิเลสอย่างหยาบคือความโลภได้ ผู้ที่ได้บุญจากทานมัยย่อมเป็นคนกว้างขวาง เป็น ที่รักและเคารพของปวงชน สมานไมตรีกันไว้ได้ทุกชั้น ทั้งยึดถือประโยชน์ของคนที่มีทรัพย์ได้ด้วย เราจำแนกทานออกเป็น ๒ อย่างคือ

     ๑.๑ อามิสทาน เป็นการสละทรัพย์ของตนแก่คนทั้งหลาย ด้วยอัธยาศัยเมตตาเผื่อแผ่ เช่น ถวายทานแด่พระภิกษุสามเณร คนชรา ขอทาน ผู้ตกยาก เป็นต้น
      ๑.๒ ธรรมทาน เป็นการแนะนำสั่งสอนชี้แจงให้ผู้อื่นรู้จักบาปบุญคุณโทษ ให้วิชาความรู้ ดังพุทธภาษิตที่ว่า "สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ" แปลว่า การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ ทั้งปวง

๒. สีลมัย วิธีการทำบุญด้วยการรักษาศีล เป็นเรื่องของจิตเกี่ยวเนื่องกับกายวาจา สีลมัยมีหน้าที่กำจัดกิเลสอย่างกลาง คือความโกรธได้ ผู้ที่ได้บุญจากสีลมัยย่อมเป็นที่รักและเคารพของชนทั้งหลาย หมดความรังเกียจซึ่งกันและกัน ทั้งทำให้เป็นคนองอาจด้วย สีลมัยจำแนกเป็น

     ๒.๑ ศีล ๕ สำหรับสามัญชนทั่วไป
     ๒.๒ ศีล ๘ หรือ อุโบสถศีล สำหรับอุบาสกอุบาสิกา
     ๒.๓ ศีล ๑๐ สำหรับสามเณร
     ๒.๔ ศีล ๒๒๗ สำหรับพระภิกษุ
ปกติคนที่ถูกโทสะครอบงำจิตย่อมจะเดือดร้อนใจ มักจะเสียความประพฤติทางกาย และ วาจา จำต้องรักษาศีลควบคุมกายวาจาให้สงบ ตลอดจนคลุมจิตใจให้เป็นปกติหายโทสะ จิตจึง จะเป็นบุญ

๓. ภาวนามัย วิธีการทำบุญด้วยการภาวนา เป็นเรื่องของจิตอย่างเดียว ผู้ที่ได้บุญจากการ
ภาวนามัย ย่อมเป็นคนหนักแน่นมั่นคง แม้กระทบกระทั่งอารมณ์ใดๆ ย่อมจะไม่หวั่นไหวไปตาม อารมณ์นั้นๆ การภาวนา เป็นการอบรมจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในความดีและให้ฉลาด สำหรับคนทั่วไป ได้แก่ การศึกษาเล่าเรียน หมั่นฟัง หมั่นคิด หมั่นท่องบ่นหลักวิชาการต่างๆ หมั่นสนทนากับ ท่านผู้รู้จนเกิดความฉลาด การภาวนาที่ละเอียดมากขึ้น ได้แก่

     ๓.๑ สมถภาวนา (สมถกัมมัฏฐาน) คือการทำจิตให้อยู่ในอารมณ์เดียว ด้วยการสำรวม ความ
ระวัง และตั้งใจ
     ๓.๒ วิปัสสนาภาวนา (วิปัสสนากัมมัฏฐาน) คือใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นแจ้งในสังขารธรรม
ทั้งปวง ด้วยความฝึกฝน ความทรมาน ความดัดสันดานและด้วยความข่มใจ

ภาวนามัยเป็นข้อสำคัญที่สุดในบุญกิริยาทั้งหลาย เพราะยึดบุญกิริยานั้นๆ ให้คงอยู่ได้ด้วย แกนเหล็กที่ตั้งอยู่ ณ ภายในทำของที่หุ้มอยู่ ณ ภายนอกให้มั่นคงฉะนั้น อันความงามความดีที่ จะเป็นผล ซึ่งบุคคลที่ประพฤติให้ปรากฏออกภายนอกด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ต้องมีภาวนา เป็นสารอยู่ภายใน ย่อมเป็นไปดังสุคนธชาติ เป็นต้นว่า เนื้อไม้ที่อบไว้เป็นอันดี เพราะเหตุนั้น กุศลราศีที่บุคคลทำให้มีขึ้นโดยสนิทใจ ได้ชื่อว่าภาวนาเพราะใจความว่าเป็นเครื่องอบรมกุศล ให้มีขึ้นในสันดาน

เครื่องบูชา แบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ :-
๑. อามิสบูชา ได้แก่การบูชาด้วยอามิส มีดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น
๒.ปฏิบัติบูชา ได้แก่ การบูชาด้วยการเจริญสมาธิวิปัสสนา
ในบรรดาการบูชาทั้ง ๒ แบบนั้น พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า การปฏิบัติบูชา ถือว่าเป็นเยี่ยม. 



พิธีบวช

     คำว่า บวช มาจากคำว่า พรรพชา แปลตามรูปศัพท์ว่า การเว้นชั่ว คือ เว้นจากสิ่งไม่ดีไม่งามทั้งหมด


การบวชพระ (การอุปสมบท)


    วิธีการบวชพระจะต้องทำเป็น ๒ ขั้น ขั้นแรกต้องพรรพชา คือ บวชเป็นสามเณรเสียก่อน แล้วต่อมาหรือในทันทีทันใดนั้นก็เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ บางท่านบวชเณรอยู่หลายปีจนอายุครบ ๒o ปีบริบูรณ์แล้วจึงได้บวชพรั ในกรณีเช่นนี้ก็ทำพิธีอุปสมบทต่อไปได้เลย ไม่ต้องมาบวชเณรใหม่

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ความหมายของวัฒนธรรมและความเป็นมา


ความหมาย


ก่อนเราจะเข้าเรื่องประเพณี เราควรทราบก่อนว่า วัฒนธรรมคืออะไร ความเป็นมาของวัฒธรรมไทย

ความหมายของวัฒนธรรม 

          คำว่า วัฒนธรรม เป็นภาษาบาลีและสันสกฤต "วัฒน" เป็นภาษาบาลี แปลว่า "เจริญงอกงาม" ส่วนคำว่า"ธรรม" เป็นภาษาสันสกฤต หมายถึง "ความดี" ซึ่งถ้าแปลตามรากศัพท์ก็คือ "สภาพอันเป็นความเจริญงอกงามหรือลักษณะที่แสดงถึงความเจริญงอกงาม"

          วัฒนธรรมเป็นวิถีชีวิตหรือการดำเนินชีวิตของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งหมายรวมถึงความคิด ศิลปะ วรรณคดี ดนตรี ปรัญชา ศีลธรรม จรรยา ภาษา กฎหมาย ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีและสิ่งต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งได้ถ่ายทอดให้กับคนรุ่นต่อๆมา เป็นเรื่องของการเรียนรู้จากคนกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งถ้าสิ่งใดดีก็เก็บไว้ สิ่งใดควรแก้ก็แก้ไขกันให้ดีขึ้น เพื่อจะได้ส่งเสริมให้มีลักษณะที่ดีประจำชาติต่อไป ในลักษณนี้ วัฒนธรรมจึงเป็นการแสดงออกซึ่งความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และ ศีลธรรมอันดีงามของประชาชน
         
           สรุปแล้ว วัฒนธรรม หมายถึงการดำเนินชีวิตของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่แสดงออกถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความกลมเกลียว ความก้าวหน้า และ ศีลธรรมของประชาชน

ความเป็นมาของวัฒนธรรมไทย

            ชาติไทยเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมอันดีงามมาแต่โบราณ วัฒนธรรมไทยที่เรามีและปฏิบัติกันอยู่ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของคนรุ่นก่อนๆ หรือ บรรพบุรุษของเราได้ถ่ายทอดมายังอนุชนรุ่นหลัง ทำให้เรามีความประพฤติและการปฏิบัติอย่างที่เราเป็นอยู่ อีกส่วนหนึ่งจากการที่เราได้มีการติดต่อกับคนชาติอื่นๆ เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี หรือเพื่อค้าขาย หรือด้วยเหตุใดก็ตาม วัฒนธรรมของชาติที่เราเกี่ยวข้องด้วย มีผลต่อวัฒนธรรมไทยไม่น้อย และ ชนชาติ ที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทย คือ มอญ ขอม อินเดีย จีน และ ชาติตะวันตก
         
            หากมองย้อนสู่อดีต เราได้ติดต่อสมาคมกับชาวพื้นเมือง คือ มอญ และ ขอม ซึ่งมอญและขอมรับอิทธิพลจากอินเดียเช่นกัน โดยคนไทยเห็นว่าสิ่งใดดีมีประโยชน์ก็นำมาดัดแปลงกลายเป็นวัฒนธรรมไทย
            โดยเฉพาะอิทธิพลของอารยธรรมอินเดีย ปรากฎได้ในด้านศาสนา การปกครอง ขนบธรรมเนียมประเพณี วรรณคดี ศิลปกรรมอย่างกว้างขวาง แต่ในระยะหลังอิทธิพลของอารยธรรมตะวันตกและจีนมีมากขึ้น


สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์


ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International.

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ความหมาย

          ศาสนา เรารับศาสนาพุทธมาจากอินเดีย ซึ่งอิทธิพลของศาสนาพุทธมีต่อคนไทย อย่างมาก ทั้งในด้านการปกครอง และในด้านกิริยามารยาท และความเป็นอยู่จนกลายเป็นธรรมเนียมไทยไป ส่วนคติความเชื่อในการประกอบพิธีกรรมต่างๆของพราหมณ์ ไทยก็นำมาปฎิบัติไม่น้อย เช่น การโกนจุก การหมั้น ฯลฯ 

           การปกครอง สมัยสุโขทัย เรามีการปกครองแบบของตนเอง คือ แบบพ่อปกครองลูก แต่ปลายสมัยสุโขทัยและสมัยอยุธยา มีอิทธิพลของขอมเข้ามาแทรกแซง ทำให้รูปการปกครอง ได้เปลี่ยนจากแบบพ่อปกครองลูกมาเป็นข้ากับเจ้า หรือบ่าวกับนาย ซึ่งขอมก็รับการปกครองมาจากอินเดียอีกทอดหนึ่ง โดยถือว่ากษัตริย์เป็นสมมติเทพ ภายหลังเรารับอารยธรรมของตะวันตก จึงเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

         ศิลปกรรม สมัยสุขโขทัย มีศิลปกรรมเป็นของตนเอง งดงาม และค่อนข้างเป็นแบบไทยแท้ แต่เมื่อไทยได้รับพระพุทธศาสนาลัทธิหินยานนิกายลังกาวงศ์ ศิลปกรรมของลังกา จึงเข้ามามีอิทธิพลในศิลปะของสุโขทัย โดยเฉพาะ "เจดีย์" ส่วนคติการสร้าง "วัด" หรือ การสร้างพระพุทธรูปเรารับมาจากอินเดีย พอถึงสมัยอยุธยาอิทธิพลของขอมมีมากในรูปการสร้าง "พระปรางค์"

         วรรณกรรม ของอินเดียมักเกี่ยวกับศาสนาหรือยกย่องเทิดทูนพระมหากษัตริย์ ซึ่งคติความเชื่อในเรื่องนี้มีอิทธิพลต่อวรรณกรรมหรือพื้นฐานความเชื่อของไทย เช่น การมีใจเมตตาเอื้อเฟื้อให้ทาน ความจงรักภักดีต่อกษัตริย์  การเชื่่อฟังผู้ปกครอง ความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ การให้อภัยต่อกัน เป็นต้น

         ภาษา สมัยสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น โดยได้รับอิทธิพลจากตักอักษรขอม นอกเหนือจากภาษาขอมแล้วเรายังนิยมใช้ภาษาบาลี และ สันสกฤต ซึ่งเป็นผล จากการเผยแผ่ ศาสนาพุทธ และ ศาสนาพาหมณ์  เมื่อเรารับศาสนาเขา เราก็รับภษาของเขามาใช้ในภาษาไทยด้วย สมัยอยุธยาเรารับการปกครองแบบสมมติเทพจากขอม เราจึงรับภาษขอมมาใช้มากขึ้น โดยเฉพาะคำราชาศัทพ์ ส่วนชาวจีนเราต้องอาศัยในการเดินเรือค้าขายและรับเอาภาษาจีนมาใช้ในการเรียกตำแหน่งต่างๆ เช่น จุ้นจู๊ นายสำเภา ไต้ก๋ง เป็นต้น ปัจจุบันเรายอมรับภาษาอื่นๆมาใช้บ้าง เพื่อความเข้าใจต่อกันและเพื่อความรู้ เช่น ภาษาอังกฤษ เป็นต้น

        หัตถกรรม สมัยพ่อขุนรามคำแหงมีช่างจีนมาสอนทำเรื่องปั้นดินเผา สมัยอยุธยาบางท่านกล่าวว่า เราคงได้ความคิดในการประดิษฐ์ ลายประดับมุกจากจีน แต่ปัจจุบัน เรานิยมทำเครื่องถ้วยชามด้วยเครื่องจักรแบบตะวันตกไม่น้อย

        ขนบธรรมเนียมประเพณี ไทยในสมัยอยุธยาได้คติความเชื่อจากขอมที่ถือกษัติรย์เป็นสมมติเทพ ทำให้มีการใช้ราชาศัพท์และพิธีการต่างๆในราชสำนัก นอกนั้นประเพณีไม่น้อยได้เข้ามาผสมผสานในหลายเรื่อง เช่น การแต่งงานแบบไทยแต่เลี้ยงแบบฝรั่ง หรือการจับมือกันแทนไหว้ในบางโอกาส

        ระยะหลัง สังคมไทยมีการติดต่อกับประเทศที่เจริญกว่ามากขึ้น โดยเฉพาะประเทศตะวันตก และยิ่งเราติดต่อมากขึ้นเท่าไหรเราก็ยิ่งรับอารยธรรมจากเขามากขึ้นเท่านั้น วิถีชีวิตเป็นอยู่จึงเปลี่ยนไปจากเดิมในหลายด้าน
       
       สรุปแล้ว  วัฒนธรรมไทยในอดีตและปัจจุบันมีอิทธิพลของอารยธรรมต่างชาติไม่มากก็น้อย เป็นการผสมผสานกับวัฒนธรรมของเราเองที่มีมาแต่ดั้งเดิม คือเรายอมรับเอาวัฒธรรมที่ดีของชาติอื่นที่เราติดต่อด้วยมาเป็นของเราบ้าง ดัดแปลงบ้าง ให้เข้ากับความเชื่อของไทย จนเป็นวัฒนธรรมที่มีลักษณะแตกต่างกับชาติอื่นๆ โดยในแต่ละยุคแต่ละสมัย ได้พยายามส่งเสริมและรักษาวัฒนธรรมที่ดีงามเหล่านี้ตลอดมา


สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์


ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International.

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ประวัติวันออกพรรษา

ประวัติวันออกพรรษา





วันออกพรรษา หรือ วันปวารณาออกพรรษา เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาวันหนึ่งในประเทศไทย วันออกพรรษา คือ วันที่สิ้นสุดระยะการจำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน (นับตั้งแต่วันเข้าพรรษา) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วันมหาปวารณา” คำว่า “ปวารณา” แปลว่า “อนุญาต” หรือ “ยอมให้” ใน วันออกพรรษา นี้พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรมใหญ่ เรียกว่า มหาปวารณา เป็นการเปิดโอกาสให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันได้ เพราะในระหว่างเข้าพรรษา พระสงฆ์บางรูปอาจมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข การให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ ทำให้ได้รู้ข้อบกพร่องของตน และยังเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยซึ่งกันและกันด้วยซึ่งจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 (ประมาณเดือนตุลาคม) หลังวันเข้าพรรษา 3 เดือน ตามปฏิทินจันทรคติไทย

สำหรับ คำกล่าว ปวารณา มีคำกล่าวเป็นภาษาบาลีเป็นดังนี้ “สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ ทิฎเฐนะ วา สุเตนะ วาปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัส์มันโต อะนุกัทปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปฎิกะริสสามิมีความหมายว่า ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ กระผมขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นหรือได้ฟังก็ตาม ขอท่านทั้งหลายโปรดอนุเคราะห์ว่ากล่าวตักเตือนกระผมด้วย เมื่อกระผมมองเห็นแล้วจักประพฤติตัวเสียเลยใหม่ให้ดี

การออกพรรษานั้น ถือเป็นข้อปฏิบัติตามพระวินัยสำหรับพระสงฆ์โดยเฉพาะจัดเป็นญัตติกรรมวาจาสังฆกรรมประเภทหนึ่ง ที่ถูกกำหนดโดยพระวินัยบัญญัติให้โอกาสแก่พระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ร่วมกันตลอด เมื่อถึง วันออกพรรษา พุทธศาสนิกชนถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเข้าวัดเพื่อบำเพ็ญกุศลแก่พระสงฆ์ที่ตั้งใจจำพรรษาและตั้งใจปฏิบัติธรรมมาตลอดจนครบไตรมาสพรรษากาลในวันนี้ และวันถัดจาก วันออกพรรษา 1 วัน (แรม 1 ค่ำ เดือน 11) พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยยังนิยมไปทำบุญตักบาตรครั้งใหญ่ เรียกว่า ตักบาตรเทโว หรือ ตักบาตรเทโวโรหนะ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติที่กล่าวว่า ในวันถัด วันออกพรรษา หนึ่งวัน พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากเทวโลกกลับจากการโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในพรรษาที่ 7 เพื่อลงมายังเมืองสังกัสสนคร พร้อมกับทรงแสดงโลกวิวรณปาฏิหาริย์เปิดโลกทั้งสามด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การทอดกฐิน

การทอดกฐิน 

เป็นประเพณีที่สำคัญของพุทธศาสนิกชนอย่างหนึ่ง นิยมทำกันตั้งแต่วันแรมค่ำเดือนสิบเอ็ด ไปจนถึงกลางเดือนสิบสอง

คำว่า กฐิน แปลว่า ไม้สะดึง คือกรอบไม้ชนิดหนึ่งสำหรับขึงผ้าให้ตึง สะดวกแก่การเย็บ ในสมัยโบราณเย็บผ้าต้องเอาไม้สะดึงมาขึงผ้าให้ตึงเสียก่อน แล้วจึงเย็บเพราะช่างยังไม่มีความชำนาญเหมื่อนสมัยปัจจุบันนี้ และเครื่องมือในการเย็บก็ยังไม่เพียงพอ เหมือนจักรเย็บผ้าในปัจจุบัน การทำจีวรในสมัยโบราณจะเป็นผ้ากฐินหรือแม้แต่จีวรอันมิใช่ผ้ากฐิน ถ้าภิกษุทำเอง ก็จัดเป็นงานเอิกเกริกทีเดียว เช่นตำนานกล่าวไว้ว่า การเย็บจีวรนั้น พระเถรานุเถระต่างมาช่วยกัน เป็นต้นว่า พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ แม้สมเด็จพระบรมศาสดาก็เสด็จลงมาช่วย ภิกษุสามเณรอื่น ๆ ก็ช่วยขวนขวายในการเย็บจีวร อุบาสกอุบาสิกาก็จัดหาน้ำดื่มเป็นต้น มาถวายพระภิกษุสงฆ์ มีองค์พระสัมมาสัมพุทธะเป็นประธาน โดยนัยนี้ การเย็บจีวรแม้โดยธรรมดา ก็เป็นการต้องช่วยกันทำหลายผู้หลายองค์ (ไม่เหมือนในปัจจุบัน ซึ่งมีจีวรสำเร็จรูปแล้ว)

ผ้ากฐิน โดยความหมายก็คือผ้าสำเร็จรูปโดยอาศัยไม้สะดึง นิยมเรียกกันจนปัจจุบันนี้

การทอดกฐิน คือ การนำผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์อย่างต่ำห้ารูป แล้วให้พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งที่ได้รับมอบหมาย จากคณะสงฆ์ทั้งนั้นเป็นเอกฉันท์ให้เป็นผู้รับกฐินนั้น

เขตกำหนดทอดกฐิน

การทอดกฐินเป็นกาลทาน ตามพระวินัยกำหนดกาลไว้ คือ ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ใคร่จะทอดกฐิน ก็ให้ทอดได้ในระหว่างระยะเวลานี้ จะทอดก่อนหรือทอดหลังกำหนดนี้ ก็ไม่เป็นการทอดกฐิน

แต่มีข้อยกเว้นพิเศษว่า ถ้าทายกผู้จะทอดกฐินนั้น มีกิจจำเป็น เช่นจะต้องไปในทัพ ไม่สามารถจะอยู่ทอดกฐินตามกำหนดนั้นได้ จะทอดกฐินก่อนกำหนดดังกล่าวแล้วพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงอนุญาตให้ภิกษะรับไว้ก่อนได้

การที่มีประเพณีทอดกฐินมีเรื่องว่า ในครั้งพุทธกาล พระภิกษุชาวปาไถยรัฐ (ปาวา) ผู้ทรงธุดงค์ จำนวน ๓๐ รูป เดินทางไกลไปไม่ทันเข้าพรรษา เหลือทางอีกหกโยชน์จะถึงนครสาวัตถี จึงตกลงพักจำพรรษาที่เมืองสาเกตตลอดไตรมาส เมื่อออกพรรษาจึงเดินทางไปเฝ้าพระบรมศาสดา ณ เชตวันมหาวิหารนครสาวัตถี ภิกษุเหล่านั้นมีจีวรเก่า เปื้อนโคลน และเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน ได้รับความลำบากตรากตรำมาก พระพุทธเจ้าจึงทรงถือเป็นมูลเหตุ ทรงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุที่จำพรรษาครบสามเดือนกรานกฐินได้ และให้ได้รับอานิสงส์ ห้าประการคือ 
     ๑) เที่ยวไปไหนไม่ต้องบอกลา
     ๒) ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบ
     ๓) ฉันคณะโภชน์ได้
     ๔) ทรงอติเรกจีวรได้ตามปรารถนา
     ๕) จีวรอันเกิดขึ้นนั้นจะได้แก่พวกเธอ และได้ขยายเขตอานิสงส์ห้าอีกสี่เดือน
นับแต่กรานกฐินแล้วจนถึงวันกฐินเดาะเรียกว่า มาติกาแปด คือการกำหนดวันสิ้นสุดที่จะได้จีวร คือ กำหนดด้วยหลีกไป กำหนดด้วยทำจีวรเสร็จ กำหนดด้วยตกลงใจ กำหนดด้วยผ้าเสียหาย กำหนดด้วยได้ยินข่าว กำหนดด้วยสิ้นหวัง กำหนดด้วยล่วงเขต กำหนดด้วยเดาะพร้อมกัน  

ฉะนั้น เมื่อครบวันกำหนดกฐินเดาะแล้ว ภิกษุก็หมดสิทธิ์ต้องรักษาวินัยต่อไป พระสงฆ์จึงรับผ้ากฐินหลังออกพรรษาไปแล้ว หนึ่งเดือนได้ จึงได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้

การทอดกฐินในปัจจุบัน ถือว่าเป็นทานพิเศษ กำหนดเวลาปีหนึ่งทอดถวายได้เพียงครั้งเดียว ตามอรรถกถาฎีกาต่าง ๆ พอกำหนดได้ว่าชนิดของกฐินมีสองลักษณะ คือ

จุลกฐิน การทำจีวร พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบท ทุกฝ่ายต้องช่วยกันทำให้เสร็จภายในกำหนดหนึ่งวัน ทำฝ้าย ปั่น กรอ ตัด เย็บ ย้อม ทำให้เป็นขันธ์ได้ขนาดตามพระวินัย แล้วทอดถวายให้เสร็จในวันนั้น

มหากฐิน คืออาศัยปัจจัยไทยทานบริวารเครื่องกฐินจำนวนมากไม่รีบด่วน เพื่อจะได้มีส่วนหนึ่งเป็นทุนบำรุงวัด คือทำนวกรรมบ้าง ซ่อมแซมบูรณของเก่าบ้าง ปัจจุบันนิยมเรียกกันว่า กฐินสามัคคี

การทอดกฐินในเมืองไทย แบ่งออกตามประเภทของวัดที่จะไปทอด คือพระอารามหลวง ผ้าพระกฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานด้วยพระองค์เอง หรือโปรดเกล้า ฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ไปพระราชทาน เครื่องกฐินทานนี้จัดด้วยพระราชทรัพย์ของพระองค์เอง เรียกว่า กฐินหลวง บางทีก็เสด็จไปพระราชทานยังวัดราษฎร์ด้วย นิยมเรียกว่า กฐินต้น ผ้ากฐินทานนอกจากที่ได้รับกฐินของหลวงโดยตรงแล้ว พระอารามหลวงอื่น ๆ จะได้รับ กฐินพระราชทาน ซึ่งโปรดเกล้า ฯ พระราชทานผ้ากฐินทาน และเครื่องกฐินแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ส่วนราชการ หรือเอกชนให้ไปทอด โดยรัฐบาลโดยกรมศาสนาจัดผ้าพระกฐินทาน และเครื่องกฐินถวายไป ผู้ได้รับพระราชทานอาจจะถวายจตุปัจจัย หรือเงินทำบุญที่วัดนั้นโดยเสด็จในกฐินพระราชทานได้

ส่วนวัดราษฎร์ทั่วไป คณะบุคคลจะไปทอดโดยการจองล่วงหน้าไว้ก่อนตั้งแต่ในพรรษา ก่อนจะเข้าเทศกาลกฐินถ้าวัดใดไม่มีผู้จอง เมื่อใกล้เทศกาลกฐิน ประชาชนทายกทายิกาของวัดนั้น ก็จะรวบรวมกันจัดการทอดกฐิน ณ วัดนั้นในเทศกาลกฐิน

การจองกฐิน

    วัดราษฎร์ทั่วไป นิยมทำเป็นหนังสือจองกฐินไปติดต่อประกาศไว้ยังวัดที่จะทอดถวาย เป็นการเผดียงสงฆ์ให้ทราบวันเวลาที่จะไปทอด หรือจะไปนมัสการเจ้าอาวาสให้ทราบไว้ก็ได้

   สำหรับการขอพระราชทานผ้าพระกฐินไปทอด ณ พระอารามหลวงให้แจ้งกรมการศาสนา เพื่อขึ้นบัญชีไว้กราบบังคมทูลและแจ้งให้วัดทราบ ในทางปฏิบัติผู้ขอพระราชทานจะไปติดต่อกับทางวัดในรายละเอียดต่าง ๆ จนก่อนถึงวันกำหนดวันทอด จึงมารับผ้าพระกฐิน และเครื่องกฐินพระราชทานจากกรมศาสนา

การนำกฐินไปทอด

    ทำได้สองอย่าง อย่างหนึ่งคือนำผ้ากฐินทานกับเครื่องบริวารที่จะถวายไปตั้งไว้ ณ วัดที่จะทอดก่อน พอถึงวันกำหนดเจ้าภาพผู้เป็นเจ้าของกฐิน หรือรับพระราชทานผ้ากฐินทานมาจึงพากันไปยังวัดเพื่อทำพิธีถวาย อีกอย่างหนึ่ง ตามคติที่ถือว่าการทอดกฐินเป็นการถวายทานพิเศษแก่พระสงฆ์ที่ได้จำพรรษาครบไตรมาส นับว่าได้กุศลแรง จึงได้มีการฉลองกฐินก่อนนำไปวัดเป็นงานใหญ่ มีการทำบุญเลี้ยงพระที่บ้านของผู้เป็นเจ้าของกฐิน และเลี้ยงผู้คน มีมหรสพสมโภช และบางงานอาจมีการรวบรวมปัจจัยไปวัดถวายพระอีกด้วยเช่น ในกรณีกฐินสามัคคี พอถึงกำหนดวันทอดก็จะมีการแห่แหนเป็นกระบวนไปยังวัดที่จะทอด มีเครื่องบรรเลงมีการฟ้อนรำนำขบวนตามประเพณีนิยม

การถวายกฐิน

   นิยมถวายในโบสถ์ โดยเฉพาะกฐินพระราชทาน ก่อนจะถึงกำหนดเวลาจะเอาเครื่องบริวารกฐินไปจัดตั้งไว้ในโบสถ์ก่อน ส่วนผ้ากฐินพระราชทานจะยังไม่นำเข้าไป พอถึงกำหนดเวลาพระสงฆ์ที่จะรับกฐิน จะลงโบสถ์พร้อมกัน นั่งบนอาสนที่จัดไว้ เจ้าภาพของกฐิน พร้อมด้วยผู้ร่วมงานจะพากันไปยังโบสถ์ เมื่อถึงหน้าโบสถ์เจ้าหน้าที่จะนำผ้าพระกฐินไปรอส่งให้ประธาน ประธานรับผ้าพระกฐินวางบนมือถือประคอง นำคณะเดินเข้าสู่โบสถ์ แล้วนำผ้าพระกฐินไปวางบนพานที่จัดไว้หน้าพระสงฆ์ และหน้าพระประธานในโบสถ์ คณะที่ตามมาเข้านั่งที่ ประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วกราบพระพุทธรูปประธานในโบสถ์แบบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง แล้วลุกมายกผ้าพระกฐินในพานขึ้น ดึงผ้าห่มพระประธานมอบให้เจ้าหน้าที่ รับไปห่มพระประธานทีหลัง แล้วประนมมือวางผ้าพระกฐินบนมือทั้งสอง หันหน้าตรงพระสงฆ์แล้วกล่าวคำถวายผ้าพระกฐิน จบแล้วพระสงฆ์รับ สาธุการ ประธานวางผ้าพระกฐินลงบนพานเช่นเดิม แล้วกลับเข้านั่งที่ ต่อจากนี้ไปเป็นพิธีกรานกฐินของพระสงฆ์
กฐินของประชาชน หรือ กฐินสามัคคี หรือในวัดบางวัดนิยมถวายกันที่ศาลาการเปรียญ หรือวิหารสำหรับทำบุญ แล้วเจ้าหน้าที่จึงนำผ้ากฐินที่ถวายแล้วไปถวายพระสงฆ์ ทำพิธีกรานกฐินในโบสถ์เฉพาะพระสงฆ์อีกทีหนึ่ง

การทำพิธีกฐินัตการกิจของพระสงฆ์ เริ่มจากการกล่าวคำขอความเห็นที่เรียกว่า อปโลกน์ และการสวดญัตติทุติยกรรม คือการยินยอมยกให้ ต่อจากนั้นพระสงฆ์รูปที่ได้รับความยินยอม นำผ้าไตรไปครองเสร็จแล้วขึ้นนั่งยังอาสนเดิม ประชาชนผู้ถวายพระกฐินทาน ทายกทายิกา และผู้ร่วมบำเพ็ญกุศล ณ ที่นั้น เข้าประเคนสิ่งของอันเป็นบริวารขององค์กฐินตามลำดับจนเสร็จแล้ว พระสงฆ์ทั้งนั้นจับพัด ประธานสงฆ์เริ่มสวดนำด้วยคาถาอนุโมทนา ประธานหรือเจ้าภาพ กรวดน้ำ และรับพรจนจบ เป็นอันเสร็จพิธี

การถวายผ้ากฐิน การถวายผ้ากฐินน้น คือ เมื่อพระสงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้ว เจ้าภาพอุ้มผ้ากฐินนั่งหันหน้าตรงต่อพระประธาน ตั้งนะโม 3 จบ แล้วหันหน้ามาทางพระสงฆ์ กล่าวคำถวายผ้ากฐิน 3 จบ ถ้าเป็นกฐินสามัคคีก็มักเอาด้วยสายสิญจน์โยงผ้ากฐิน เมื่อจับได้ทั่วถึงกัน แล้วหัวหน้านำว่าคำถวาย ครั้นจบแล้ว พระสงฆ์รับว่า สาธุ เจ้าภาพก็ประเคนผาไตรกฐินแก่ภิกษุผู้เถระ ครั้นแล้วประเคนเครื่องบริขารอื่น ๆ เสร็จแล้ว พระสงฆ์ก็ทำพิธีมอบผ้าให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นพระเถระ มีจีวรเก่า รู้ธรรมวินัย ครั้นเสร็จแล้ว พระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพกรวดน้ำรับพร ก็เป็นอันเสร็จพิธีการทอดกฐินเพียงนี้

     

ประเพณีวันเข้าพรรษา

ประเพณีวันเข้าพรรษา

         ประเพณีวันเข้าพรรษานี้หมายความว่า พระภิกษุอยู่ประจำที่แห่งเดียวในฤดูฝน ไมมีการเที่ยวจาริกไปที่แห่งอื่น และจะต้องกระทำทุกๆปี เมื่อถึงวันเข้าพรรษา

        การทำบุญเข้าพรรษาก็มีต่อเนื่องกันทุกปี มีการทำบุญตักบาตร มีการเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ บรรดาอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายต่างเข้าวัด ฟังเทศน์ ฟังธรรม รักษาศีล ภาวนา โดยเฉพาะหน้าที่เป็นวันธรรมสวนะ ก็มีการถือศีลโดย เคร่งครัด

      ใดยที่ในช่วง ๓ เดือนนี้พระจะออกไปค้างคืนที่ไหนไม่ได้ จะต้องศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ในวัด ฉะนั้น ประชาชนควรจะจัดถวายสิ่งของเรียกว่าจตุปัจจัย คือ อาหาร เครื่อง นุ่งห่ม (รวมทั้งผ้าอาบน้ำฝน) ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องสักการบูชา ของรับประทาน และเทียนพรรษาที่ชาวบ้านช่วยกันทำ และมีการทำความดีละเว้นความชั่ว 

        นอกจากนี้การบวชพระนิยมบวชกันในฤดูนี้ด้วย



สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์


ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International.

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ประเพณีการทอดผ้าป่า


ประเพณีการทอดผ้าป่า

       ผ้าป่า เดิมหมายถงผ้าที่ทิ้งอยู่ในป่าจริงๆ ปัจจุบันหมายถึงผ้าที่สมมติว่าตกอยู่ทอดทิ้งอยู่ในป่า นิยมถวายแก่พระสงฆ์อีกส่วนหนึ่งนอกเหนือจากผ้ากฐิน ผ้าป่านั้นนับเข้าในผ้าบังสุกุล

        ผ้าบังสุกุล แปลว่า ผ้าเปื้อนฝุ่น เป็นชื่อของผ้าซึ่งไม่มีเจ้าของ เป็นเศษผ้าที่เขาทิ้งตามกองขยะบ้าง ผ้าเช่นนั้นพระภิกษุเก็บเอามาปะติดปะต่อ ซักฟอก แล้วย้อมด้วยน้ำฝาดทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม มาภายหลังประชาชนมุ่งถวายความสะดวกแก่พระ จึงเอาผ้าดีๆทำเป็นจีวรสำเร็จรูปไปทอดทิ้งไว้ในป่าบ้าง ตามปกติเจ้าภาพจะเอาหผ้าพาดไว้บนกิ่งไม้แล้วทิ้งไว้ พระรูปใดมาพบเข้าก็ชักเอาไป หรือจะนิมนต์พระให้มาชักผ้าป่าก็ได้ ต่อมาก็นิยมทอดที่โลงศพ หรือทอดบนสายโยงศพเพื่อให้พระชักผ้านั้นไป เป็นการอุทิศกุศลให้แก่ผู้ตาย

       จึงสรุปได้ว่า คำว่า ผ้าป่าในครั้งพุทธกาลเรียกว่า ผ้าบังสุกุลจีวร ผ้าบังสุกุลนั้น คือผ้าเปื่อนฝุ่นแท้ๆอย่างหนึ่ง แล้วผ้าที่อุทิศให้ผู้ตายอีกอย่างหนึ่ง




สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์


ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International.

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ประเพณีวันวิสาขบูชา

ประเพณีวันวิสาขบูชา

สำหรับ วันวิสาขะบูชานี้ ถือเป็น  "วันพระพุทธ" ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 หากปีใดมีเดือนอธิกมาศ คือมีเดือน 8 สองหน วันวิสาขบูชา ก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 7 ถือได้ว่าเป็นวันแห่งพระพุทธ ซึ่งตรงกันกับ ทั้งวันประสูติ ตรัสรู้และวันปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวัน ดังนี้

วันประสูติ

ทรงประสูติที่ใต้ต้นสาระ(ต้นรัง)ที่สวนลุมพินีวัน ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ก่อนพุทธกาล 80 ปี ตรงกับสุริยคติ วันที่ 18 พฤษภาคม อัญชัญศักราช 68  เวลา 11 นาฬิกา ระหว่างทางกรุงกบิลพัสดุ์และเทวทหะ ปัจจุบันอยู่ที่ชายแดนระหว่างชายแดนประเทศเนปาลและประเทศอินเดีย หลักฐานทางประวัติศาสตร์คือ เสาศิลาจารึกที่สร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราชและสระโบกขรณี


วันตรัสรู้ 

หลังจากนางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาสที่ใต้ต้นไทร ทรงใช้บารมี 30 ทัศ ที่สะสมมาตลอด 4 อสงไขยแสนกัปป์ เป็นอาวุธต่อสู้หมู่มารและตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใต้ต้น มหาโพธิ์อัสสถะ ตำบล อุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6  เมื่ออายุได้ 29 ปี หลังออกบวชได้ 6 ปี ตรงกับสุริยคติ วันอาทิตย์ ปีระกา อัญชัญศักราช 103  นับตั้งแต่ พ.ศ. 1 ถอยหลังไป 45 ปี  หลังพระองค์ตรัสรู้ทรงเสวยสมมุติสุขพิจารณาธรรมอยู่ 49 วัน หลักฐานทางประวัติศาสตร์คือเจดีย์ตรัสรู้ที่พุทธคยา



วันปรินิพพาน

  ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพาน ณ.เมืองเวสาลี กรุงกุสินารา  แคว้นมัลละ ใต้ต้นรังคู่ ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6  เมื่ออายุ 80 ปี ก่อนพุทธกาล 1 ปี ทั้งนี้หากปีใดมีเดือน 6 สองครั้งให้ถือเดือน 6 หลังเป็นวันวิสาขะบูชา



ประวัติความเป็นมาของวันวิสาขบูชาในประเทศไทย
          ปรากฎหลักฐานว่า วันวิสาขบูชา เริ่มต้นครั้งแรกในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สันนิษฐานว่าได้รับแบบแผนมาจากลังกา นั่นคือ เมื่อประมาณ พ.ศ.420 พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาขึ้น เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา จากนั้นกษัตริย์ลังกา พระองค์อื่นๆ ก็ปฏิบัติประเพณีวิสาขบูชานี้สืบทอดต่อกันมา

          ส่วนการเผยแผ่เข้ามาในประเทศไทยนั้น น่าจะเป็นเพราะประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัยมีความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนา กับประเทศลังกาอย่างใกล้ชิด เห็นได้จากมีพระสงฆ์จากลังกาหลายรูปเดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา และนำการประกอบพิธีวิสาขบูชาเข้ามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย

          สำหรับการปฏิบัติพิธีวิสาขบูชาในสมัยสุโขทัยนั้น ได้มีการบันทึกไว้ในหนังสือนางนพมาศ สรุปได้ว่า เมื่อถึงวันวิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพาร ทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทัย จะช่วยกันประดับตกแต่งพระนคร ด้วยดอกไม้ พร้อมกับจุดประทีปโคมไฟให้ดูสว่างไสวไปทั่วพระนคร เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย ขณะที่พระมหากษัตริย์ และบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงศีล และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ครั้นตกเวลาเย็นก็เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และนางสนองพระโอษฐ์ตลอดจนข้าราชการทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายในไปยังพระอารามหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน


ส่วนชาวสุโขทัยจะรักษาศีล ฟังธรรม ถวายสลากภัต สังฆทาน อาหารบิณฑบาตแด่พระภิกษุสามเณร บริจาคทานแก่คนยากจน ทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์ ฯลฯ

         หลัง จากสมัยสุโขทัย ประเทศไทยได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์มากขึ้น ทำให้ในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไม่ปรากฎหลักฐานว่ามีการประกอบพิธีวิสาขบูชา จนกระทั่งมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2360) ทรงมีพระราชดำริที่จะให้ฟื้นฟูพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาใหม่ โดยสมเด็จพระสังฆราช (มี) สำนักวัดราชบูรณะ ถวายพระพรให้ทรงทำขึ้น เป็นครั้งแรก ในวันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ  และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ.2360 และให้จัดทำตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ เพื่อให้ประชาชนได้ทำบุญ ทำกุศล โดยทั่วหน้ากัน การรื้อฟื้นพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาในครานี้ จึงถือเป็นแบบอย่างถือปฏิบัติในการประกอบพิธีวิสาขบูชาต่อเนื่องมาจวบจน กระทั่งปัจจุบัน

วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลของสหประชาชาติ
          วันวิสาขบูชาถือเป็นวันสำคัญที่สุดทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากล้วนมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการถือกำเนิดของพระพุทธศาสนา คือ เป็นวันที่พระศาสดา คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ดังนั้นพุทธศาสนิกชนทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชานี้ และ ในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2542 องค์การสหประชาชาติได้ยอมรับญัตติที่ประชุม กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก โดยเรียกว่า VesakDay ตามคำเรียกของชาวศรีลังกา ผู้ที่ยื่นเรื่องให้สหประชาชาติพิจารณา และได้กำหนดวันวิสาขบูชานี้ถือเป็นวันหยุดวันหนึ่งของสหประชาชาติอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ชาวพุทธทั่วโลกได้มีโอกาสบำเพ็ญบุญเนื่องในวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระบรมศาสดา โดยการที่สหประชาชาติได้กำหนดให้ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของโลกนั้น ได้ให้เหตุผลไว้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์เปิดโอกาสให้ทุกศาสนสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณ โดยไม่คิดค่าตอบแทน

การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา จะแบ่งออกเป็น 3 พิธี ได้แก่

1. พิธีหลวง คือ พระราชพิธีสำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ประกอบในวันวิสาขบูชา
2. พิธีราษฎร์ คือ พิธีของประชาชนทั่วไป
3. พิธีของพระสงฆ์ คือ พิธีที่พระสงฆ์ประกอบศาสนกิจ

กิจกรรมในวันวิสาขบูชา

กิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติในวันวิสาขบูชา ได้แก่
1.ทำบุญใส่บาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับ และเจ้ากรรมนายเวร
2.จัดสำรับคาวหวานไปทำบุญถวายภัตตาหารที่วัด และปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา 
3.ปล่อยนกปล่อยปลา เพื่อสร้างบุญสร้างกุศล
4.ร่วมเวียนเทียนรอบอุโบสถที่วัดในตอนค่ำ เพื่อรำลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
5.ร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับวันสำคัญทางพุทธศาสนา
6.จัดแสดงนิทรรศการ ประวัติ หรือเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับวันวิสาขบูชาตามโรงเรียน หรือสถานที่ราชการต่างๆ เพื่อให้ความรู้ และเป็นการร่วมรำลึกถึงความสำคัญของวันวิสาขบูชา
 7.ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน วัดและสถานที่ราชการ
 8.บำเพ็ญสาธารณประโยชน์

 หลักธรรมที่สำคัญที่ควรนำมาปฏิบัติ

          ในวันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรยึดมั่นในหลักธรรม ซึ่งหลักธรรมที่ควรนำมาปฏิบัติในวันวิสาขบูชา ได้แก่

  1. ความกตัญญู

คือ การรู้คุณคน เป็นคุณธรรมที่คู่กับความกตเวที ซึ่งหมายถึงการตอบแทนคุณที่มีผู้ทำไว้ ความกตัญญูและความกตเวทีนี้เป็นเครื่องหมายของคนดี ทำให้ครอบครัวและสังคมมีความสุข ซึ่งความกตัญญูกตเวทีนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้ง บิดามารดาและลูก ครูอาจารย์กับศิษย์ นายจ้างกับลูกจ้าง ฯลฯ

      ในพระพุทธศาสนา เปรียบพระพุทธเจ้าเสมือนกับบุพการี ผู้ชี้ให้เห็นทางหลุดพ้นแห่งความทุกข์ ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงควรตอบแทนด้วยความกตัญญูกตเวทีด้วยการทำนุบำรุงพระ พุทธศาสนา และดำรงพระพุทธศาสนาให้อยู่สืบไป

 2. อริยสัจ 4

คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชา ได้แก่

    ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต สภาวะที่ทนได้ยาก ซึ่งทุกข์ขั้นพื้นฐาน คือ การเกิด การแก่ และการตาย ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ ส่วนทุกข์จร คือ ทุกข์ที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การพลัดพลาดจากสิ่งที่เป็นที่รัก หรือ ความยากจน เป็นต้น

     สมุทัย คือ ต้นเหตุของปัญหา หรือสาเหตุของการเกิดทุกข์ และสาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาเกิดจาก "ตัณหา" อันได้แก่ ความอยากได้ต่างๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

     นิโรธ คือ ความดับทุกข์ เป็นสภาพที่ความทุกข์หมดไป เพราะสามารถดับกิเลส ตัณหา อุปาทานออกไปได้

      มรรค คือ หนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ เป็นการปฎิบัติเพื่อแก้ปัญหา มี 8 ประการ ได้แก่ ความเห็นชอบ ดำริชอบ วาจาชอบ กระทำชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งจิตมั่นชอบ

  3. ความไม่ประมาท
          คือการมีสติตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร ล้วนต้องใช้สติ เพราะสติคือการระลึกได้ การระลึกได้อยู่เสมอจะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทซึ่งความประมาทนั้นจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมา ดังนั้นในวันนี้พุทธศาสนิกชนจะพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยความมีสติ

          วันวิสาขบูชา นับว่าเป็นวันที่มีความสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน เป็นวันที่มีการทำพิธีพุทธบูชา เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระวิสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ อีกทั้งเพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ทั้ง 3 ประการ ที่มาบังเกิดในวันเดียวกัน และนำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติในการ ดำรงชีวิต



วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ประเพณีวันมาฆบูชา


ประเพณีวันมาฆบูชา

     วันมาฆบูชานี้ นับเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา คือเป็นวันที่มีการประชุมสังสันนิบาตครั้งใหญ่ ซึ่งเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต เป็นการประชุมที่มีความมหัศจรรย์ ๔ ประการ คือ

      ๑. พระสงฆ์ที่ได้มาร่วมกันประชุมครั้งนั้น ล้วนแต่เป็นเอหิภิกษุอุปสัมปทา คือ เป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งสิ้น
      ๒. พระสงฆ์ที่ได้มาเข้าประชุมในครั้งนั้น ล้วนแต่เป็นผู้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุกๆองค์
      ๓. ภิกษุที่มาประชุมรวมทั้งสิ้น ๑๒๕o องค์ และมาจากที่ต่างๆกัน มาพร้อมเพรียงกันโดยมิได้มีการนัดหมาย
      ๔. ในวันที่มีการประชุมใหญ่นั้น เป็นวันเพ็ญเต็มดวง จันทร์กำลังเสวยมาฆฤกษ์

     ดังนั้น เมื่อบรรจบครคบรอบปีหนึ่งๆ เหล่าพระพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ต่างก็ได้พากันประกอบการกุศลขึ้น เพื่อจะได้เป็นเครื่องบูชาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีการทำบุญและเวียนเทียนที่วัด

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

พิธีสงกรานต์

พิธีสงกรานต์

          สงกรานต์ คือวันขึ้นปีใหม่ของไทยมาตั้งแต่โบราณ เพิ่จะมาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ ๑ มกราคม ตามแบบสากลเมื่อไม่นานมานี้ และ ถือว่าวันที่ ๑ มกราคมของทุกๆปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์เป็นวันที่ ๑๓ เมษายน ทุกๆปี
   
         สงกรานต์มีอะไรบ้าง

        ๑.ทำบุญตักบาตร
        ๒.รดน้ำดำหัว ไหว้ผู้ใหญ่
        ๓.ปล่อยนกปล่อยปลา มีการละเล่นต่างๆ

         การทำบุญตักบาตรถือว่าเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลให้ตัวเอง และอุทิศส่วนกุศลนั้นแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว การทำบุญนี้มักจะเตรียมไว้ล่วงหน้า พอรุ่งเช้าก็พากันนำอาหารไปตักบาตรถวายพระภิกษุที่ศาลาวัด ซึ่งจัดเป็นที่รวมสำหรับการทำบุญ ในวันนี้หลังจากที่ได้ทำบุญสำเร็จแล้ว ก็จะมีการก่อพระทรายอันเป็นประเพณีด้วย การนำทรายเข้าวัดถือเป็นกุศลอย่างแรง ดังเช่น ภาคเหนือมักนิยมขนทรายเข้าวัดเพื่อเป็นนิมิตโชคลาภ

        การรดน้ำ ถือเป็นสิริมงคล เป็นการอวยพรปีใหม่ให้กันและกัน 
     
        การรดน้ำผู้ใหญ่ คือ การไปอวยพรให้ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ 

       การดำหัว คือการรดน้ำนั้นเอง แต่เป็นคำเมืองทางภาคเหนือ การดำหัวเรียกกันเฉพาะการรดน้ำผู้ใหญ่ที่เราเคารพนัถือ ผู้สูงอายุ คือการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินไปแล้ว หรือการขอพรปีใหม่จากผู้ใหญ่

       นอกจากการดำหัวรดน้ำก่อพระทรายแล้ว ยังมีการละเล่นสนุกสนานอีกหลากหลายอย่าง เช่น ฟ้อนรำเชียงใหม่ 

      การปล่อยนกปล่อยปลา ในวันสงกรานต์ ถ้าหากได้ปล่อยแล้ว จะเป็นการล้างบาปที่ทำไว้ 


สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์


ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International.

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ประเพณีต่างๆ

ประเพณีหล่อเทียนเข้าพรรษา

     ประเพณีหล่อเทียนเข้าพรรษาเป็นประเพณีที่กระทำกันตั้งแต่โบราณกาล จนกระทั่งทุกวันนี้ การหล่อเทียนเข้าพรรษามีอยู่เป็นประจำทุกปี 

     ในการเข้าพรรษานี้ พระภิกษุจะต้องมีการสวดมนต์ทำฉันตรทุกเช้าค่ำ และในการนี้จะต้องมีธูปเทียนบูชาด้วย 

    พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันหล่อเทียนเข้าพรรษา สำหรับให้พระภิกษุจุดบูชาเป็นการกุศลทานอย่างหนึ่งในการให้ทานด้วยแสงสว่าง จะมีอานิสงส์เพิ่มพูนปัญญาหูตาสว่างไสว

    เมื่อหล่อเสร็จแล้วก็มีการแห่แหนตามประเพณีรอบพระอุโบสถ เวียน ๓ รอบแล้วนำไปจุดบูชาพระตลอดระยะเวลา ๓ เดือน 

   ตามชนบท การหล่อเทียนเข้าพรรษา ทำกันอย่างเอกเกริกสนุกสนานมาก บางแห่งมีการประกวดการตกแต่งประเภทต่างๆ 

    การให้ทานด้วยแสงสว่าง ก็เป็นอนิสงส์อย่างหนึ่งไม่แพ้การบุญการกุศลใดๆทั้งสิ้น 


ประเพณีถวายผัาอาบน้ำฝน

     ประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝน เป็นประเพณีมาตั้งแต่โบราณกาล ในครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายแสวงหาผ้าอาบน้ำฝน ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๗ ไปจนถึงเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ แล้วทรงอนุญาตนุ่งห่มได้ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๕ ไป และห้ามมิให้พระภิกษุสงฆ์แสวงหาผ้านุ่งห่มเลยไปจากทรงอนุญาติไว้

      ผ้าอาบน้ำฝน เป็นอุปกรณ์สำคัญในการดำรงชีพของสมณะทั้งหลาย ดังนั้น ผู้ที่นำไปถวายจึงได้ชื่อว่าได้เกื้อกูลพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง

พิธีถวายผ้าอาบน้ำฝน

๑.เมื่อถึงวันกำหนดแล้ว พึงประชุมพร้อมกันตามสถานที่ที่ได้กำหนดไว้ จะเป็นพระอุโบสถ หรือศาลาการเปรียญ นำผ้าอาบน้ำฝนที่ทายกนำมาถวายรวมไว้ในที่เฉพาะหน้า แล้วแจกสลากให้ติดไว้ที่ของถวาย ปกติก็มีผ้าอาบน้ำฝน ๑ ผืน และ ของถวายอย่างอื่นเป็นบริวาร เช่น ร่ม พุ่มเทียน ไม้ขีด สบู่ ยาสีฟัน กระดาษชำระ ฯลฯ
๒.เมื่อพระสงฆ์ลงประชุมเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นหัวหน้ากล่าวคำถวาย
๓.เมื่อกล่าวคำถวายเสร็จแล้ว เจ้าของผ้าประเคนผ้าแก่พระภิกษุผู้จับได้สลากของตนเป็นรายๆไป
๔.เสร็จการประเคนแล้ว พระสงฆ์อนุโมทนา ทายกกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว



สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์




ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International.